Review FOCUS TDCi powershift After Used 23,000 km
และแล้วผมก็ใช้ Ford Focus TDCi มาปีกว่า ผ่านการเข้าศูนย์ที่ 15,000 มาหนึ่งครั้ง (บริการดีด้วย) และก็ยังพบว่าการใช้รถมีความพอใจทีเดียวครับ ปัจจัยมาจากผมเป็นคนให้ความสำคัญกับสมรรถนะในการขับขี่ และ Focus TDCi ก็ให้การขับขี่ที่สนุกสนานด้วย ( ความสนุก ส่วนหนึ่งมาจากการกดคันเร่งโดยไม่ต้องคิดมากเรื่องน้ำมันครับ 😛 )

เข้าศูนย์
ตอนไปเข้าศูนย์เปลี่ยนนำ้มันเครื่อง 15,000km ความจริงไม่ต้องจ่ายอะไรเลยเพราะเอาคุปองไปได้ ผมไม่ว่างเลยฝากคุณแม่ไปครับ คุณแม่บอกว่าศูนย์บริการดีกว่ามิตซูฯอีกนะ ( ที่บ้านมีมิตซูฯ Cedia คันหนึ่งกับ E-Car คันเก่า ) กลับมาปรากฏว่าคุณแม่ไปติดอุปกรณ์อะไรสักอย่างราคา 900 บาท ซึ่งผมสอบถามช่างที่ศูนย์เค้าบอกว่าเป็นอุปกรณ์จัดเรียงโมเลกุลอะไรสักอย่าง (จำไม่ได้แล้ว ) แง้วว -_-”


การใช้รถทุกครั้งที่ขับรถออกจากบ้าน, ทุกครั้งที่มีคนมาอาศัยโดยสาร, ทุกครั้งที่ไปเติมน้ำมันดีเซลแล้วมีคนขับรถในระดับเดียวกันมาเห็น ก็จะเกิดประเด็นสนทนาที่สร้างความประหลาดใจให้คนเหล่านั้นได้เสมอ ผมจะชอบเวลาคนมานั่งแล้วและชอบชมว่ารถแรงดีโดยไม่รู้ว่าเป็นรถดีเซลเพราะพอบอกว่าเป็นดีเซลประหยัดน้ำมันแล้วมันก็จะ Surprise คนนั่งได้พอสมควร ( บางคนมีความรู้พอควรก็จะคุยไปถึงระบบเกียร์ซึ่งเป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งได้ด้วย ได้ข่าวว่า Ford Fiesta ก็จะใช้เหมือนกัน เย่!)

ด้านเสียงเครื่องยนต์นั้น เท่าที่ใช้มามีแนวโน้มน่าจะจะดังขึ้นเรื่อยๆตามประสาเครื่องยนต์ทั่วไปครับ โดยสามารถที่จะสังเกตได้ในบ้านเวลาสตาร์ทตอนเครื่องเย็น แต่พอเข้าเมืองแล้วเสียงก็จะไม่เป็นที่สังเกตเพราะสภาวะแวดล้อมตอนนั้นเสียงดังกว่า
ประสบการณ์การใช้น้ำมัน โดยส่วนตัวแล้วชอบน้ำมันของ บางจากดีเซลธรรมดาที่เป็น Diesel Euro4 ที่สุดครับ ให้ความรู้สึกเครื่องเสียงเงียบที่สุดด้วย แต่ในเมืองนั้นจะหาปั๊มเติมยากนิดนึงเพราะส่วนใหญ่เป็น B5 Euro4 มากกว่า และ ESSO กับ Shell V-Power Diesel ก็เติมได้เช่นกัน แต่น่าแปลกที่ V-Power พอเติมแล้วเสียงเครื่องจะดังขึ้น ?!? และอาจจะแรงขึ้นนิดหน่อยเวลารอบสูงครับ
อัตราการประหยัดน้ำมันแต่ละคนก็จะต่างกันไปครับ ของผมโดยเฉลี่ยใช้ในเมืองรถติดด้วย และขับบนทางด่วนด้วยจะตก 100 km ใช้ 7 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 14.3 กิโลลิตร สำหรับคนชอบขับรถค่อนข้างเร็ว บางคนขับต่างจังหวัดได้ 17 ขึ้นไป ( แม่ผมทำสถิติ 22 โลลิตร ) แต่บางคนขับในเมืองรถติดตลอดก็อาจจะได้ 12 กิโลลิตร

ด้านอัตราเร่ง ในครั้งแรกที่ได้รถมารู้สึกว่าแรงสนุกดี แต่พอใช้ไปสักครึ่งปีก็เริ่มชินครับ เหมือนที่ผมอ่านในหนังสือรถว่า แม้คนใช้ Bugatti Veyron พอใช้ผ่านมา 2-3 วันก็จะเริ่มรู้สึกว่ามันก็เป็นรถแรงคันหนึ่งนั่นเอง เครื่องดีเซลนั้นมีอัตราเร่งที่โดดเด่นแต่ก็เผาไหม้ช้า ถ้าอยากแข่งกับเครื่องเบนซินแล้วอยากให้ได้เปรียบมากๆ แนะนำให้แข่งขึ้นเขาหรือขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมครับ 😛 พอกดคันเร่งแล้วรถจะวิ่งขึ้นไปเหมือนกับทางราบเลย
สมรรถนะนั้นคนที่ขับรถคันนี้มักเผลอขับเร็วอยู่เรื่อย ความเร็วระดับ 160 นั้นไปความเร็วที่ไปถึงได้ไม่ยากครับ และเวลาขับบนทางด่วนพวกมอเตอร์เวย์ -บูรพาวิถีนั้น สามารถทำได้มากกว่า 200 km/h (เคยลองที่ 220 มอเตอร์เวย์) โดยที่ยังคงความนิ่งมากกว่า BMW บางรุ่น
ด้านการไปต่างจังหวัดก็ยังให้ความเพลิดเพลินและขับได้ดีมาก กันสะเทือนยังหนุบแน่นไร้เสียงรบกวนก๊อกๆแก๊กแบบที่ผมเคยใช้ Lancer สักหนึ่งปีแล้วเคยเป็นมาก่อน ประตูให้ความรู้สึกหนักแน่นไม่หลวมหรือรู้สึกตกเหมือน ซิวิค เบรคให้ความมั่นใจดีและยังมี Engine break ช่วยเสริมด้วย


ด้านที่ยังมี Comment อยู่คือรถคันนี้น่าจะหมาะกับการนั่ง 2 คนและถอยเบาะหน้าไปน่าจะสบายกว่าครับ ถ้าไปต่างจังหวัดความสบายในการนั่งหลังยังเป็นรอง Altis อยู่บ้าง (น่าเสียดาย อุตส่าห์มีช่องแอร์ด้านหลัง ) ส่วนอันดับหนึ่งเรื่องการนั่งสบายในรถยนต์กระดับนี้ผมยกให้ Nissan Tiida ไม่มีใครเกิน แต่ถ้าเจ้าของรถเป็นคนขับเร็วตลอดเวลาก็จะรู้สึกว่า เบาะนั่น FOCUS ดีไซน์มาดีแล้วครับเพราะกระชับดี

ด้านการขนของเนื่องจากผมรับจ็อบเป็นนักดนตรีงานแต่งงานด้วย และต้องขนเปียโนไฟฟ้ายาว 88 คีย์พร้อมเครื่องเสียงตลอดและต้องพับเบาะด้านหนึ่งทำให้พบว่า ความสามารถในการบรรทุกของในฐานะที่เป็นรถเก๋งซีดานคันหนึ่งของรถคันนี้น่าทึ่งทีเดียว และเมื่อบรรทุกหนักก็ไม่รู้สึกว่าหน้ารถเชิดมากอีกด้วยอาจจะเพราะน้ำหนักของเครื่องดีเซลมาถ่วงไว้เช่นกัน
ส่วนที่ต้องกระแทกบ่อยๆอย่างเช่นขอบกระโปรงหลังด้านล่าง ทำจากพลาสติกทำให้ไม่ต้องเสียดายเวลาเลื่อนสไลด์คีย์บอร์ดเข้าไป จึงเกิดรอยดังภาพ

และเก้าอี้ที่พับไปข้างหน้านั้นด้านหลังเป็นเหล็กพ่นสีเปลือยทำให้เป็นรอยได้ง่าย ผมเลยต้องเอาผ้ามารองคีย์บอร์ดตามรูป

เบาะนั่ง ทำมาค่อนข้างดีและพวงมาลัยเลื่อนเข้าออกได้ เพียงแต่ผมยังรู้สึกว่าตั้งแต่ใช้รถมา ชอบตำแหน่งเบาะนั่งของ Lancer E-Car ที่สุดเพราะ นั่งต่ำ เหยียดขา หลังจากนั้นยังไม่เห็นเบาะรถไหนถูกใจเท่าเลย แม้จะเป็น BMW ( ผมตัวสูง 185cm) แต่เบาะปรับไฟฟ้าคันนี้ก็ง่ายดีครับ
อีกเรื่องคือเวลาไปปั๊ม ตจว (โดยเฉพาะตอนคุณแม่ขับ) บางทีเด็กปั๊มไม่เชื่อ บางครั้งถึงขั้นมาดมกลิ่นน้ำมันพิสูจน์ ผมก็เลยซื้อสติกเกอร์ 20 บาทติดคำว่า ดีเซล ไว้ข้างในครับ ( ติดข้างนอกกลัวไม่สวย )

Focus TDCi กับสภาพภายนอกหลังใช้งานมา 1 ปี 2 เดือน
สี – ถ้ามองในสภาพแสง”บางประเภท” จะพบว่าสีขาวของรถคันนี้มีความแตกต่างระหว่างสีขาวที่อยู่บนเนื้อเหล็กกับสีขาวที่อยู่บนพลาสติกนิดหน่อย เช่นบริเวณรอยต่อด้านหลังรถตรงนี้นี้ กันชนดูจะขาวกว่าบริเวณตัวถัง โดยทั่วไปจะไม่สังเกตเห็นครับ ต้องผ่านบริเวณแสงและมีมุมสะท้อนเฉพาะแบบ ต้องรอดูต่อไป ( นี่ขนาดนำรถไปทำ Service เคลือบ Crystals แล้วนะ )

ไฟหน้า – มีเขม่าหม่นๆ เล็กน้อยบริเวณใกล้ๆหลอดไฟหรี่ ตัวสะท้อนแสงเหมือนโดนความร้อนทำให้มีสีขาวๆด้านๆเล็กน้อยบริเวณไฟหรี่เช่นกัน แต่ไม่เป็นที่สังเกตจากคนทั่วไป ผมคิดว่าที่ตำแหน่งไฟหรี่อาจอยู่ใกล้เลนส์ฝาครอบพลาสติกเพื่อให้รถอีกด้านเห็นได้สะดวก

ไฟตัดหมอก ยังใช้ได้ดี ไม่มีคราบอะไร ไม่มีรอยอะไร

สติกเกอร์ TDCi ด้านข้างรถยังเหมือนใหม่ ไม่มีปัญหาขอบดำหรือหลุด

ฝากลมปิดช่องลากจูง ผมขับๆอยู่หลุดหายเฉยเลย ต้องไปซื้อพร้อมทำสีใหม่ 700 -_-” แต่ช่วงที่ฝาปิดหลุดดูหน้ารถเหมือนรถมีใฝ มาลีรีน มอลโรว์ ข้างๆปากดูกวนดี 😛

ภายนอกนอกจากนั้นยังเนียนกิ๊กอยู่ครับ
Focus TDCi กับสภาพภายในหลังใช้งานมา1 ปี 2 เดือน
– บริเวณ ส่วนที่เป็นหนังเทียม กับ ส่วนที่เป็นพลาสติก มีสีต่างกันมากขึ้น ลองดูบริเวณที่รองแขนซึ่งทำจากวัสดุนุ่มที่หุ้มอยู่จะมีสีเข้มขึ้นถ้าเทียบกับรอบๆ

– ที่เปิดกระจกทุกฝั่งเป็นแบบ Auto หมด และยังใช้งานได้ แต่ฝั่งคนขับบางจังหวะมีปัญหาขึ้นไม่สุดและเด้งลง ต้องกดค้าง 2-3 ครั้ง ไม่แน่ใจว่าร่องกระจกฝืดและ ระบบ Jam protection ทำงานไวเกินไปหรือไม่ (ยังไม่ได้ซ่อมเพราะยังใช้ได้อยู่)
– บริเวณเก้าอี้ นุ่มขึ้นและนั่งสบายขึ้น มีสีเข้มขึ้นและมีลายงาเล็กน้อย ระบบปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้ายังใช้งานได้ดี

– บริเวณที่จุดบุหรี่/ชาร์ทไฟ ตรงนี้ผมเองใช้ที่ชาร์ท iPhone ที่เป็นของจีนแล้วตัวเขี้ยวที่เสียบชาร์ทดันเบี้ยวขึ้นมาทำให้ยัดใส่และดึงออกยากขึ้น แต่ผมดันฝืนใช้ต่อไปเลยทำให้วันหนึ่งที่รูชาร์ทหลุดตามที่ชาร์ทออกมาจากคอนโซลรถ -_-” ไฟไม่เดิน ตอนนี้ยังไม่ได้ไปซ่อมเลยครับ

– เนื่องจากรถคันนี้ไม่มีปุ่มทั้งสามอย่างต่อไปนี้ คือปุ่มเปิดฝากระโปรงหน้า ปุ่มเปิดฝากระโปรงหลัง และปุ่มเซ้นทรัลล็อคทำให้คนมาใช้แรกๆจะงงนิดหน่อย
– มี process ในการใช้เซ็นทรัลล็อกอย่างหนึ่งที่อาจเกิดความไม่สะดวกในการใช้งานได้ครับคือในกรณีที่ประตูคนขับถูกเปิดอยู่แต่ประตูอื่นอยู่ตำแหน่งล็อค โดยมากมักเป็นตอนเราเติมน้ำมันอยู่ พอเพื่อนเราซึ่งอยู่ด้านนอกจะเข้ารถมาโดยอาจจะใช้ประตูบานอื่นที่ไม่ใช่ประตูคนขับ (เช่นประตูด้านหลัง) และเราจะต้องเปิดประตูโดยเปิด Central lock ให้เพื่อนคนนั้น เราจะเกิดปัญหาไม่รู้จะเปิดอย่างไรครับ ซึ่งวิธีเปิดมี 2 วิธีคือ กดเปิดที่ปุ่มพวงกุญแจซึ่งยังเสียบคาที่พวงมาลัยอยู่ หรือปิดประตูคนขับก่อนจากนั้นกดล็อกและเปิดล็อกตามลำดับ

– ผิวของหนังในบริเวณที่ถูกมือสัมผัสบ่อยอย่างพวงมาลัยและหัวเกียร์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ

– กระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้าและการปรับกระจกก็ยังใช้งานได้ดีตามปกติ

– ระบบแอร์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมาก เพราะลมแอร์กำลังดี ทำให้อากาศกลมกล่อม การใช้งานแทบไม่ได้แตะ ไม่ได้ปิดก่อนดับเครื่องด้วยครับ ใช้มาสักพักลมแอร์ก็ยังปกติไม่มีกลิิ่นเหม็น


– เกียร์ Powershift นั้นมีความนุ่มนวลดี และมีความเหมาะสมกับเครื่องดีเซลอย่างมากเพราะจะรักษารอบเครื่องให้อยู่ในช่วงแรงบิดสูงตลอด ประกอบกับรอบเครื่องที่ให้กำลังดีค่อนข้างสั้น ( power band ) ประสารถดีเซล ถ้าใช้เกียร์ธรรมดาอาจต้องเปลี่ยนเกียร์มือเป็นระวิงถ้ารถติดๆ มีข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้อย่างเดียวคือเวลาถอนเบรคในที่ลาดชันโดยที่เข้าเกียร์ D ไว้รถอาจไหลได้เพราะรถจะเลียคลัชท์ไว้บางๆเพื่อความนุ่มนวล ดังนั้นให้เร่งเครื่องนิดหน่อยก่อนปล่อยเบรคเหมือนรถเกียร์ธรรมดาครับ (ต้องใช้ 2 เท้า หรือถ้ายกเท้าไวพอจะใช้เท้าเดียวก็ได้) ยิ่งเข้าเกียร์ถอยหลัง รถเหมือนจะเข้าช้าและเลียคลัทช์บางกว่าเดินหน้าอีก
สำหรับคนที่คอมเม้นท์เรื่องอาการกระตุกในกรณีขับช้า ในรอบ 1 ปีผมเคยมีอาการดังกล่าวเหมือนกัน แต่มีเพียงแค่ 2 ครั้งครับ เป็นในช่วงคลานในเมืองและกำลังจะหยุด หรือกำลังจะเร่งในจังหวะที่เกียร์เปลี่ยน อย่างไรก็ตามจากกระทู้ที่ลิงก์ไป คุณ U9WS บอกว่าเพียงนำรถเข้าไปอัพ Firmware Ver.68 (ล่าสุด) ก็จะวิ่งดีขึ้นอีกเยอะ ( ทำยังกะ Gadgets -_-” )
– การ maintenance เกียร์ เป็นเรื่องเดียวสำหรับรถคันนี้ที่ใหม่มากๆ แต่สำหรับนับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ Ford Fiesta ใหม่จะใช้เกี่ยร์ Powershift เพราะจะทำให้ช่างของทีม Ford มีความรู้ความชำนาญในการซ่อมมากขึ้น อุ่นใจแล้วครับ
– วิธีเปิดฝากระโปรงหน้าของรถคันนี้ต้องอ่านคู่มือ ! ขนาดช่างข้างบ้านที่มาเปลี่ยนแบ็ตเตอรี่ให้รถอีกคันยังไม่สามารถเปิดฝากระโปรงได้เลยครับ 😛 วิธีถ้ารู้แล้วก็ไม่ยากคือต้องบิดโลโก้ฟอร์ดออกก่อน และบิดกุญไปทางซ้ายก่อนจะบิดไปทางขวานะครับ คนส่วนใหญ่จะบิดไปทางเดียวเลยเปิดไม่ได้
– เมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นมาตลอดปีผมยังไม่เคยเปิดดูหรือเติมน้ำเลยครับ หม้อใส่น้ำต่างๆมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เครื่องยนต์ยังเหมือนเดิม ไม่มีเขม่า แต่มีฝุ่นเกาะเล็กน้อย ฉนวนต่างๆที่ใส่มาบดบังความเป็นดีเซลยังคงสภาพเดิม

– ภาษีประจำปีของรถคันนี้ประมาณสามพันกว่าบาท
TDCi กับบทสรุปหลังใช้งาน 1 ปีกว่า รถคันนี้จะเหมาะกับคุณก็ต่อเมื่อ…
– ถ้าคุณเป็นคนชอบขับรถสมรรถนะดีแบบไม่ต้องใช้ทักษะไม่ต้องใช้รอบสูง ไม่เกี่ยงเครื่องดีเซล
– เป็นคนชอบขับรถเร็ว ชีวิตเร่งรีบ
– คุณชอบรถที่ประหยัดน้ำมัน
– ถ้าคุณเป็นคนชอบนวตกรรมและชอบรถไม่ใหญ่มากเกินไป
– คุณบรรทุกของเยอะเป็นประจำ พับเบาะหลังราบได้
– คุณไม่ได้นั่ง 4 คนชายล้วนและเดินทางไกลทั้ง 4 คนบ่อยๆ
– คุณชอบแอร์อัตโนมัติแยกส่วนซ้ายขวากลมกล่อม ไม่เป่าใส่หน้า
อ่านเรื่อง Focus TDCi ทั้งหมดตั้งแต่ผมซื้อรถที่นี่ครับ
