(ต่อจาก วิธีทำ SEO เบื้องต้น 1/2)
search engine optimization starter guide ตอนที่ 2 Google ได้ออก เอกสาร เกี่ยวกับการทำ SEO มาสำหรับผู้เริ่มต้นนะครับ ผมแปลมาอีกที ซึ่งใครสนใจระดับลึกกว่านี้สามารถติดต่อรับการอบรมได้ที่ iSchool ครับ และสำหรับผู้ที่สนใจทำเว็บที่พิถีพิถันในเรื่องการทำ SEO แบบเป็นธรรมชาติ (สายขาว ยั่งยืน) สามารถติดต่อได้ที่ TiGERiDEA Google?s Search Engine Optimization Starter Guide v.1.1 11 พย. 2008 (ต่อ)
The content of this document is licensed under the Creative Commons. Attribution 3.0 License.
ทำระบบ navigator ให้เข้าถึงได้ง่าย ระบบ navigator ที่เข้าถึงได้ง่ายจะทำให้ผู้เชี่ยมชมเว็บไซท์สามารถหา Content ที่ต้องการ ได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้ search engine เข้าใจได้ว่า Content ใดที่เจ้าของเว็บให้ความสำคัญ ถึงแม้ว่า google จะรับรู้ page level แตมันก็ต้องการการสื่อสารที่แสดงให้เห็นว่าหน้าใดบนเว็บไซท์เป็นภาพหลักของเว็บอยู่ ทุกๆไซท์จะมี root page ซึ่ง เป็นหน้าที่มักจะถูกเข้าถึงง่ายที่สุด และหน้าที่ลึกลงไปซึ่งก็จะเป็นเนื้อหาทีเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทีนี้เราก็ควรจะต้องมาพิจารณาถึงปริมาณเนื้อหา และจำนวนหน้าว่าเหมาะสมกันหรือไม่ มีหน้าที่เกี่ยวข้องซึ่งขึ้นกับหน้าเนื้อหาเฉพาะเจาะจงแค่ไหน ( root page -> related topic listing -> specific topic) ควรจะเอาทุกเนื้อหามาทำเมนูหรือไม่ หรือมีประเภทสินค้าที่แตกต่างกันเป็นร้อยๆชนิดซึ่งจะต้อง’ถูกแบ่งจำพวกตาม Category หรือ Subcategory หรือไม่ ? เปรียบเทียบได้กับประตูห้องน้ำ เราสามารถที่จะทำประตูห้องน้ำใหญ่ไว้ด้านนอก พอเปิดมาจึงพบห้องน้ำแยกชายหญิงอีกที หรือว่าจะทำประตูห้องน้ำแยกชายหญิงไว้ตั้งแต่ด้านนอกเลย อันนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณ Content และ ความสำคัญ

Sitemap (lower-case) เป็นหน้าปกติบนเว็บซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของเว็บไซท์ ปกติแล้วจะแสดงลำดับของหน้าต่างๆบนเว็บ ผู้เข้าเยี่ยมชมสามารถเข้ามาที่นี่ในกรณีที่มีปัญหาไม่สามารถหาหน้า page ที่ต้องการ ในขณะที่ search engine ก็จะเข้ามาที่หน้านี้ด้วยเช่นกัน โดยทำตัวคล้ายๆผู้มาชมเว็บทั่วไป และได้ภาพที่เอื้อต่อค้นหาทั่วไซท์ ไฟล์ XML Sitemap (upper-case) จะเป็นตัวที่ทำให้ Google ค้นพบหน้า page บนเว็บได้ง่ายขึ้น การใช้ไฟล์นี้ยังเป็นหนทางหนึ่งที่จะบอก Google ว่าเราต้องการให้ URL ของเว็บตัวใดเป็นตัวหลัก( เช่น http://ischool.in.th/ หรือ http://www.ischool.in.th.com ) เราสามารถ Submit ได้ที่ Google’s Webmaster Tools https://www.google.com/webmasters/tools/ และ google ยังมี open sourceSitemap Generator script https://www.google.com/webmasters/tools/docs/en/sitemap-generator.html ให้ใช้อีกด้วย
Good practices for site navigation
- Create a naturally flowing hierarchy ทำให้ผู้เยี่ยมชมเข้าถึงเว็บไซท์จากหน้า general ไปหน้า specific ให้ง่ายที่สุด ทำให้ปุ่มหรือเมนูต่างๆให้ เข้าใจง่าย และ make sense ที่สุด เว็บบางเว็บอาจมีการดีไซน์ที่หวือหวา แต่ต้องคำนึงถึงจุดนี้ให้ดีมิเช่นนั้น ถ้าเลย์เอาท์ทำให้ผู้เยี่ยมชมงงและไม่เข้าใจภายในไม่กี่วินาทีเว็บไซท์ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับ SEO สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การสร้างเว็บที่มี naviation ซับซ้อน เช่นการเอาลิงค์ที่ไปถึงทุกๆหน้าของเว็บไปใส่ไว้ในทุกๆหน้า หรือการมีคอนเท้นท์ที่ลึกเกินไป ต้องคลิกมากกว่า สิบครั้ง เพื่อที่จะเจอคอนเท้นท์ โดยทั่วๆไปแล้วเว็บที่ดีไม่ควร จะมีการคลิกเกินสามครั้งเพื่อให้ได้เนื้อหาที่ลึกที่สุด
- Use mostly text for navigation ควรให้ navigation เป็น text ทั้งหมด การสร้าง Text links นั้นทำให้ search engine ค้นเว็บได้ง่ายขึ้นและเข้าใจ และผู้ใช้งานหลายคนก็ชอบเนื่องจากคอมพิวเตอร์บางเครื่องหรืออุปกรณ์บางอย่างอาจไม่ได้ support Flash หรือ java script หลีกเลี่ยงการใช้ navigation เป็น ภาพ หรือ animations อย่างไรก็ตาม search engine ได้พัฒนาขึ้นเพื่อ detect สิ่งเหล่านี้ได้บ้าง และ cms เช่น wordpress ก็สามารถที่จะตั้งชื่อรูปต่างๆให้เป็นชื่อของ ลิงค์ navigation ได้ แต่ในกรณีที่ ผู้ใช้ทำการ search ทุกๆหน้าของเว็บที่ใช้ text link ปกติ การใช้ text links ก็จะมีประสิทธิภาพดีกว่าอยู่ดี
- Use “breadcrumb”navigationbreadcrumb (ซึงแปลว่าเศษขนมปังซึ่งโรยไว้นำทางให้ผู้อื่นในนิทานของต่างประเทศ) คือลำดับของ internal links ซึ่งสามารถที่จะวางไว้ด้านบนสุดหรือล่างสุดของหน้าต่างๆ breadcrumb ทุกๆอันจะมีหน้าหลัก หรือ root page ไว้ด้านซ้ายสุดและต่อด้วยหน้าที่มีข้อมูล specific มากขึ้นไปทางด้านขวา ดังตัวอย่างด้านล่าง
- ใส่ HTML sitemap page ที่ site และใช้ XML Sitemap file หน้า Site map เป็นหน้าที่สำคัญและใช้ประโยชน์ได้มาก กับ SEO ถ้าเว็บไซท์มีหน้ามากเป็นร้อยเป็นพัน การสร้าง XML Sitemap file สำหรับเว็บไซท์ของเราจะช่วยให้ Search Engine หาเจอได้อย่างแน่นอนขึ้น อย่างไรก็ตาม Site map ต้อง update ตลอดเวลาและห้ามมีลิงค์ที่เสีย นอกจากนั้นยัังต้องจัดการชื่อของ site-map แต่ละตัวให้ถูกต้องด้วย
- ให้พิจารณากรณี User ใส่ URL ไม่ครบว่าสามารถโชว์เว็บไซท์ได้หรือไม่ บางกรณีผู้ชมเว็บอาจใส่ URL แบบเดิมเนืองจากต้องการดูภาพที่ General กว่า เช่นแทนที่จะใส่ว่า http://www.brandonsbaseballcards.com/news/2008/upcoming-baseball-card-shows.htm แต่ไปใส่ http://www.brandonsbaseballcards.com/news/2008/ ใน address bar แทนเนื่องจากคาดว่าเว็บไซท์จะโชว์ข่าวสารในปี 2008 ทั้งหมด ในกรณีนี้ถ้าคุณไม่ได้ใส่หรือไม่ได้วางแผนการแสดงข้อมูลในปี 2008 คุณอาจจะต้องเลื่อน Directory Level ไปเป็น http://www.brandonsbaseballcards.com/news/ แทน เพื่อหลีกเลี่ยงหน้าที่โชว์ว่า 404 (“page not found” error)
- สร้างหน้า 404 pages ที่เป็นประโยชน์ บางครั้งผู้ชมเว็บก็เข้าหน้าเว็บไซท์ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา เราควรจะสร้าง Custom 404 page ที่จะไกด์ลิงค์ให้ผู้ใช้สามารถกลับไปยังหน้าที่มีอยู่ได้เช่นหน้า Root page หรือ หน้าที่ได้รับความนิยมอื่นๆ และทำให้เกิด User Experience ที่ดี Google ได้ออก 404 widget มาให้ใช้ embed ในหน้า 404 ของเว็บไซท์อีกด้วย และเราสามารถหา sources of URLs causing “not found” errors. สำหรับข้อควรระวังก็เช่น อย่าให้หน้า 404 ของเว็บไซท์ถูก index ใน search Engine (เมื่อหน้าที่ไม่ปรากฎในเว็บถูก request ขึ้นมา ต้องเช็ค web server ว่าได้ Configed เพื่อแจก 404 HTTP status code หรือไม่
Offer quality content and services
กรสร้างเว็บที่มีเนื้อหาที่ดีและตรงใจผู้ชมนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่าทุกๆข้อที่กล่าวมาเสียอีก ผู้ใช้ที่เข้าเว็บจะรู้ว่าเว็บไหนดีและแนะนำให้ผู้อื่นเข้ามาชมด้วย ผ่านการลิงค์จาก Blog Post, Social media service, Emails, Forums หรืออื่นๆ Word of month เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ Google พยายามพัฒนาการ Search ไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
วิธีการเขียน Content ที่ดี
- เขียนด้วยคำที่อ่านง่ายอ่านสนุกและอยากติดตาม อย่าเขียนให้ผิดไวยากรณ์หรือคำที่ดูไม่น่าเชื่อถือ และต้องระวังให้ตัวอักษรเป็น Text จริงๆทุกตัวเพราะบางครั้งผู้ทำเว็บเ embed text ไปเป็นรูปภาพแทน
- จัดการหัวข้อและเนื้อหาให้ติดตามง่าย ดูง่ายว่าตรงไหนเริ่ม ตรงไหนจบ หลีกเลี่ยงการใส่ Text จำนวนมากเข้าไปโดยมี Topic จำนวนมากที่หลากหลายไม่เกี่ยวข้อง โดยไม่มี paragraph, subheading หรือการแยก layout
- คิดถึงเสมอว่าคนส่วนใหญ่น่าจะ Search ด้วยคำว่าอะไร คนที่มีความเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดีนั้นจะมี Keyword การ search ที่แตกต่างจากคนที่ใหม่ในเรื่องนั้นๆ บางคนอาจจะ search ด้วยคำย่อของสถานที่ หรือ search สิ่งของโดยมีคำวิเศษณ์ (คำขยาย) ข้อสำคัญคือเราต้องมี ช่วงของข้อความ ใน content ที่มี Keyword อยู่ (using a good mix of keyword phrases) สำหรับเว็บของเมืองไทยอาจสร้างความได้เปรียบในเรื่องการผสมผสานภาษา เช่นถ้าเซิร์ท “mac teaching” นั้นยากที่จะเจอ iSchool ได้ แต่ถ้าเซิร์ท “เรียน Mac” จะเห็นว่า iSchool อยู่ในอันดับแรก
- สร้าง content ที่ใหม่สดเสมอ และ Unique จะทำให้ผู้ใช้กลับมาอีกครั้งและ Search เจอง่าย แต่ต้องหลีกเลี่ยงการ Copy Content ที่ไม่ได้มีประโยชน์กับผู้ใช้ และหลีกเลี่ยงการ Duplicate ระหว่างเว็บไซท์
- สร้าง Content ที่พิเศษจริงๆ และใหม่ๆ คุณสามารถเขียนงานวิจัยลง หรือเล่าเรื่องราวใหม่ๆที่น่าตื่นเต้นเพื่อรักษาระดับของกลุ่มผู้ชมของเรา เว็บอื่นๆอาจไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเขียนหรือไม่มีงานที่ดีให้อ่านเหมือนเว็บของเรา
Write better anchor text
Anchor Text คือตัวอักษรที่สามารถคลิกลิงค์มาได้ซึ่งอยู่ระหว่าง tag

การเขียน Anchor Text ที่ดีจะทำให้ user navigate ไปยังหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น(ไม่ว่าจะเป็น Internal หรือ External)และทำให้ Google เข้าใจถึงเนื้อหาได้ดีอีกด้วยและส่งผลดีต่อ SEO ตัวอย่างการเขียน Anchor Text ที่ดี – Choose descriptive text ข้อความต้องมีเนื้อหาเกี่ยวข้อง อย่าใช้ข้อความลิงค์จำพวก “article”, “click here”หรือ “ดูที่นี่” หรือข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา – Write concise text เขียนให้สั้นแต่ยังรู้เรื่อง ใช้ประโยคสั้นๆได้แต่อย่างลิงค์ยาวเป็น paragraph – ตัว Anchor Text ควรทำให้มองเห็นง่าย และมีความแตกต่างจากตัวอักษรปกติ หลีกเลี่ยงการเขียน CSS ให้ Anchor Text ออกมาเหมือน Text ธรรมดา – ทำ Anchor Text สำหรับ Internal link ในเว็บไซท์ของเราให้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อ SEO ด้วย
Use heading tags appropriately
Heading tags (อย่าสับสนกับ HTML tag หรือ HTTP headers) เป็นสิ่งที่ใช้แสดงโครงสร้างของเนื้อความทั้งหมด heading tag นั้นมี 6 ขนาดด้วยกัน h1 จะมีขนาดใหญ่และมีความสำคัญทีสุดมักใช้เป็นชื่อหัวข้อเรื่อง เรียงลงมาเรื่อยจนถึง h6มีความสำคัญน้อยสุด

การใส่ heading ที่ดีจะทำให้ง่ายต่อการอ่านและลำดับใจความของเรื่องได้ และ google ก็พิจารณาส่วนนี้ด้วยเช่นกัน และเวลาเขียนให้นึกถึงการเขียน paper ขนาดใหญ่ที่เราต้องมีหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยตามลำดับ อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการใส่ Heading ที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องหรือไม่เกิดประโยชน์ในการช่วยด้านโครงสร้าง และในบางจุดเราอาจจะใช้ < em> หรือ < strong> แทนจะดีกว่า อีกประการคืออย่าใส่ Heading tag มากเกินความจำเป็น หรือใช้ทั้งย่อหน้ามาเป็น Heading
Optimize your use of images
ปกติโดยทั่วไปการวางรูปในเว็บไซท์ก็แสดงความชัดเจนต่อผู้ชมได้ดี แต่เราก็สามารถที่เพิ่มประสิทธิภาพของ seo ที่รูปได้เหมือนกัน โดยในทุกๆรูปจะมีการตั้งชื่อที่ต่างๆกันได้และมีค่า “alt” ที่สามารถใส่ได้ด้วย ซึ่งเราต้องพิจารณาทั้งคู่
