email คุยงานกันระหว่างเพื่อนๆ

งานหลักล้านนะครับ โดยฝ่ายเราได้ครึ่งหนึ่ง และ Partner (คุณ A.) ที่หางานมาได้อีกครึ่งหนึ่ง นาย B. (เข้าใจว่าไม่ค่อยชอบเปิดเผยตัว) เป็นผู้ดีลและแบ่งงาน

email นาย B.

ก็อัพเดทข่าวอ่ะนะ

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ทำงานน้อยมากเลย T_T ส่วนใหญ่เพราะเปลืองพลังไปคุยโทรศัพท์กับคุณ A.( partner รายหนึ่ง)ทั้งนั้นเลยว่ะ

ผมว่าถ้าพูดให้เบา คุณA.เป็นคนดื้อมาก ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ เค้าหมกมุ่น กับ ประเด็นเดียวคือ ดีไซน์ ต้อง ปรับแก้ให้เป็นอย่างเค้าต้องการ โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะแลกกับอะไรก็ตาม

สาเหตุที่ผม Defend การปรับแก้ครั้งนี้ เพราะผมเห็นว่ามันไม่ make sense การทำงานในฐานะ partner เราทำงานร่วมกัน เม่นเจียดเวลาให้แล้ว และเม่นก็ปรับแก้เล็กน้อยตามที่เม่นเห็นว่าเหมาะสม ในแง่ดีไซน์ ควรให้ความเชื่อมั่นกับเม่นเป็นหลัก และถ้าคุณ A.เป็น AE ไม่ใช่ Art Director และร่วมงานกันแบบ partner ในแง่ดีไซน์ เค้าก็ควรฟังเม่น ใช่มั้ยล่ะ? และนี่ก็คือสิ่งผมถามเค้า และอยากให้เค้าตอบก่อน

ผมถามเค้าไปและเสนอไปหลายเงื่อนไข (ส่งดีไซน์ของเม่นให้ลูกค้า.(ลูกค้า) ไปก่อนว่าเค้าว่าอย่างไร?/ขอคำตอบว่าจะให้พัชรมาช่วยเป็น AE ด้วยมั้ย?/ขอเลื่อนกำหนดส่งดีไซน์ให้ลูกค้าทางเมล์ที่คุณA.เคยคุยกันไปก่อนโดยให้เหตุผลว่าคุยกันในทีมดีไซน์ไม่ลงตัว/หรือจะให้เปลี่ยนมุมมองการทำงานร่วมกันจาก partner มาถือว่าคุณA.เป็นลูกค้าแทน จะได้ทำตามที่คุณA.ต้องการ และขอคำตอบว่าคุณA.เอามั้ย)

เค้าปฏิเสธทุกเงื่อนไข และไม่ตอบบางคำถาม (คำถามสุดท้าย) คือคุณA.ต้องการทุกอย่าง แบบเดิม คือเค้าเป็น AE ในความหมายที่เค้าเข้าใจ (คือพบกับลูกค้า) แต่เค้าจะให้ผมคิดราคา/คำนวนเวลาโปรเจกต์ให้เค้า และถ้ามีปัญหาใดๆ เขาจะให้ผมแก้ปัญหาให้เค้า และบอกว่าให้ชาร์จเงินค่าทำเพิ่ม/แก้ปัญหาให้เค้า แต่ถ้าแก้ปัญหาไปแล้ว เค้ามักจะบอกว่าเป็นความผิดพลาดของผมที่ไม่ยอมบอกเค้าว่างานที่ทำเพิ่มนี้มันไม่ make sense (เช่นเค้าให้ผมทำรายงานต่างๆ ที่ทางศูนย์ขอเปรียบเทียบแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผล พอผมทำไปแล้ว เค้าจะบอกว่าผมน่าบอกเค้าก่อนว่ามันไม่สมเหตุสมผล เพราะเค้ามีอำนาจในการบอกศูนย์ฯ ว่ารายงานนี้ไม่จำเป็น เป็นต้น)

ในส่วนการปรับแก้นี้ มันดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่เค้าหมกมุ่นมากๆ กับที่ได้เล่าว่าเค้าปฏิเสธข้อเสนอๆ ทุกๆ ข่้อเสนอและเงื่อนไขทุกๆ เงื่อนไข รวมทั้งไม่ยอมรับการปรับการเป็น partner มาเป็นลูกค้า (แล้วจ่ายเงินแบบลูกค้าด้วย) ทุกๆ วันก็โทรฯ มาคุยกับประเด็นเดิมๆ เป็นชั่วโมงๆ (ทั้งที่ให้คุยกับพัชรก็แล้ว) ซึ่งในการคุยก็มีอะไรๆ ที่ฟังเหนือจริงมากมายๆ (เค้าชอบย้อนอดีตไปไกลมาก และชอบถกหลายๆ เรื่องมาก ซึ่งถ้าลงรายละเอียดมันจะเซอร์เรียลเข่นกัน)

วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจให้เค้าไปเลยว่าจะไม่ทำงานกันต่อแล้วนะ หยุดแค่นี้ เม่นจะแก้ดีไซน์ให้ตามที่เค้าต้องการ คิดค่าแรงที่ผ่านมาที่ทำให้เค้าเป็นเงิน 50,000 บาท (ตามที่ผมเคยคิดและเจรจากับลูกค้า ให้เค้า เมื่อดีไซน์เสร็จ ก็จะจบงวดแรก ถ้าเค้าได้เงินงวดแรกจากศูนย์ เค้าจะได้ 300,000 ซึ่งเค้าก้น่าจะกำไรแล้วอ่ะนะ)

ดูเหมือน เค้าจะยอมรับนะ ตอนนี้ก็ให้เม่นแก้ให้ไปแล้ว และเค้าก็ขอแม่นแก้อีกครั้ง ก็คงจะไม่มีอะไรมากกว่านี้มาก เพราะดูเค้าตื่นเต้นสุดๆ แล้วตอนนี้ (เค้าได้อย่างที่เค้าต้องการแล้วอ่ะ คือได้ปรับแก้ดีไซน์ให้เป็นไปอย่างที่เค้าต้องการ)

ก็ขอบอกข่าวกันน่ะ อย่างไรก็ดี ผมกังวลกับอนาคตว่ะ คือตอนนี้มันเหมือนกับ ระหว่าง แก้ดีไซน์ให้เป็นไปตามใจเค้าทุกอย่าง กับ ร่วมงานกับเราต่อไป เค้าเลือกอันแรกอ่ะ ซึ่งตอนนี้เค้าก็ได้ดังใจแล้ว ก็คงไม่สนอย่างอื่นไปชั่วขณะอ่ะนะ

แต่ในอนาคต เกิดเค้ามีปัญหาว่าเค้าจะเอาใครมาทำงานให้เค้าต่อ อืม เค้าก็อาจจะทำแบบเดิมที่ทำในอาทิตย์นี้ก็ได้ว่ะ คือทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ผมกลับไปทำงานให้เค้าต่อ (มีเรื่องตลกอยู่เรื่องด้วย ตอนแรกเค้าเข้าใจว่าเม่นงอแงไม่ยอมแก้ดีไซน์ให้เค้า เค้าเคยเสนอว่าให้ผมมาทำงานกับเค้าต่อไปคนเดียว ไม่ต้องมีเม่น คือเค้าเข้าใจว่าดีไซน์ใกล้จะจบแค่นี้ และเม่น ทำเป็นแค่ ดีไซน์ จริงๆ เห็นมั้ยล่ะ เค้าทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ดีไซน์ที่เค้าต้องการจริงๆ)

ความจริงผมก็อัดเค้าไปเยอะเหมือนกันว่ะ ก็หวังว่าในอนาคต เค้าคงไม่มารบกวนเรามากนักเพิ่อให้กลับไปทำให้เค้าต่ออ่ะนะ แต่ก็เสียใจมากเหมือนกันที่ทำให้เงินที่หวังว่าจะให้เม่นได้น้อยลง และเปลืองเวลาพัชรด้วยอ่ะ

ก็เป็นงานหลักล้านอันแรกที่ลองดีลดูแล้วล้มเหลวอ่ะนะ

email ตอบจากเม่น

อย่าเครียดมาก B

เราคิดว่าโปรเจ็คระดับนี้มันต้องมีปัญหาอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราก็เจ็บกันมาเยอะ (gmthailand ได้แค่ 3 แสนเองนะ ทำเป็นปีๆ ใช้คนทั้งออฟฟิศ) เราก็เลยเรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกันงัย

แต่คุณA.ยังไม่เคยทำ ก็เลยยิ่งมีปัญหาเข้าไปใหญ่

เหมือนเราขายข้าวแกงข้างถนน กว่าจะเป็นร้าน กว่าจะส่งขายตามห้างได้ มันสาหัส คุณA.เค้ามาถึงเปิดโรงแรมเลย (ด้วยเส้นสายอำมาตย์ ฮ่าฮ่า) ถ้าเราช่วยแก้ปัญหาให้เค้าหมด เราก็ขาดทุนเท่านั้นเอง ก็มีแค่บอกว่าจะทำแบบไหน ที่ราคาเท่าไหร่ ถ้าเค้ามาซื้อข้าวแกงข้างถนนมันก็ถูก/อาจแถมฟรีได้ แต่มีข้อจำกัด ถ้าเค้าจะให้เราไปขายในโรงแรม มันก็ต้องแพง และไม่แน่ว่าขายในโรงแรมจะกำไร/สุขภาพจิตดีกว่า (แต่เค้าชวนเราขายในโรงแรม มันก็ต้องเรื่องมากอยู่แล้ว)

ปัญหาคือคุณA.เองดันไม่มีความรู้และ Positioning เลยทำให้วันนึงก็จะให้เราทำข้าวแกงปักษ์ใต้ วันนึงก็จะให้เราทำข้าวแกงเมืองเพชร ฯลฯ ทั้งๆ ที่ถ้าเราทำชัดเจนซะอย่าง เดี๋ยวมันก็สำเร็จ แต่ถ้าเป็นเรื่องเปิดร้าน มันเข้าใจง่าย เรื่องทำเว็บมันเข้าใจยาก ดังนั้นนายตัดสินใจถูกแล้วที่ถอนตัว แต่เราก็กลัวปัญหาตามมาเหมือนกัน ก็ต้องพยายามจบๆ กันไปอ่ะนะ

อีกอย่าง นี่ก็เป็นงานใหญ่มากงานแรกที่นายดีลนะ เรากับพัชก็ขาดทุนกับงานหลักหมื่นหลักแสนมานักต่อนัก เราถึงบอกว่ามันเป็น learning curve ถ้านายอยากดีลงาน นายก็ต้องเริ่มจากการเป็นมือใหม่ แต่ถ้านายอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ นายก็เริ่มจากมือเก๋าได้เลย ทุก function จึงควรได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม

ปล. ดูคอมเม้นท์ใน blognone http://blognone.com/node/15546 แล้วฮาเหมือนกันนะ ไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคอมเม้นท์พอใจได้หรอก ต้องเลือกซักทางน่ะ
ดูแล้วเราคิดว่าคุณA.ก็เหมือนคอมเม้นท์เหล่านี้นะ คือเค้ายังไม่ชัดเจนว่าควรทำอย่างไรดี แต่ออกความเห็นมาก่อน พอเจอผลลัพธ์ก็ค่อยเรียนรู้ทีละนิด

ปล. 2. เราคิดว่าข้อเสียของเราและนาย คือชอบประกาศตัวแปร และชอบความชัดเจน ดังนั้นมันจะมีปัญหาหลายๆ อย่างของความชัดเจน (เช่นลูกค้า vs. partner / การคิดราคา ที่ถ้าชัดเจน มันจะไม่เผื่อความงี่เง่าของลูกค้าไว้ ฯลฯ)
พัชเองพอดีลงานเยอะๆ เริ่มคลุมเครือ ซึ่งเราว่านั่นทำให้การดีลลุล่วงไปได้ อาจเป็นเพราะคนไทยไม่ชอบพูดตรงๆ ก็ต้องสื่อสารกันแบบคลุมเครือ แล้วค่อยปรับแก้กันไป